ข่าววันนี้ ข่าวล่าสุด

การเลือกซื้อตู้เย็นสักเครื่องหนึ่ง นอกจากจะพิจารณาเรื่องขนาด ราคา และดีไซน์แล้ว เรายังต้องคำนึงถึงระบบทำความเย็นด้วย ซึ่งมีอยู่ 2 แบบหลักๆ คือ ระบบ Defrost กับ ระบบ No Frost แต่ละระบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อตู้เย็นได้อย่างเหมาะสม

ระบบ Defrost (ระบบละลายน้ำแข็งเอง)

• หลักการทำงาน: เมื่อความชื้นในตู้เย็นรวมตัวกันเป็นน้ำแข็ง ก็จะเกิดการสะสมน้ำแข็งที่ผนังด้านในของช่องแช่แข็ง เมื่อน้ำแข็งหนาขึ้นจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำความเย็น ทำให้ต้องมีการละลายน้ำแข็งเป็นระยะๆ
• ข้อดี:
  • ประหยัดค่าไฟ: เนื่องจากไม่มีระบบทำความเย็นเสริม
  • ราคาถูกกว่า: ตู้เย็นระบบ Defrost มักจะมีราคาถูกกว่าตู้เย็นระบบ No Frost
• ข้อเสีย:
  • ต้องละลายน้ำแข็งเป็นระยะ: ทำให้เสียเวลาและอาจเกิดความยุ่งยาก
  • อาหารอาจเกิดน้ำแข็งเกาะ: หากไม่ละลายน้ำแข็งเป็นประจำ อาหารที่วางไว้ใกล้ผนังอาจเกิดน้ำแข็งเกาะได้
  • สิ้นเปลืองน้ำ: เนื่องจากต้องใช้น้ำในการละลายน้ำแข็ง

ระบบ No Frost (ระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ)

• หลักการทำงาน: มีระบบระบายความร้อนและพัดลมช่วยกระจายความเย็นทั่วถึง ทำให้อุณหภูมิคงที่ และไม่มีน้ำแข็งเกาะผนัง
• ข้อดี:
  • ไม่ต้องละลายน้ำแข็ง: สะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลา
  • อาหารสดใหม่: อาหารไม่เกิดน้ำแข็งเกาะ ทำให้อาหารสดใหม่ได้นานขึ้น
  • ประหยัดไฟในระยะยาว: แม้จะมีราคาสูงกว่า แต่ในระยะยาวจะประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น เพราะไม่ต้องทำงานหนักในการละลายน้ำแข็ง
• ข้อเสีย:
  • ราคาสูง: ตู้เย็นระบบ No Frost มักจะมีราคาสูงกว่า
  • เสียงดัง: เนื่องจากมีพัดลมระบายความเย็น
  • อาจทำให้ผักผลไม้แห้งเร็ว: หากเปิดตู้เย็นบ่อยครั้ง

เลือกตู้เย็นระบบไหนดี?

การเลือกตู้เย็นระบบ Defrost หรือ No Frost ขึ้นอยู่กับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคุณเอง

• เลือกระบบ Defrost เมื่อ:
  • งบประมาณจำกัด
  • ไม่ค่อยเปิดตู้เย็นบ่อย
  • ไม่ต้องการความสะดวกสบายมากนัก
• เลือกระบบ No Frost เมื่อ:
  • มีงบประมาณเพียงพอ
  • ต้องการความสะดวกสบาย
  • ต้องการให้อาหารสดใหม่ได้นานขึ้น
  • ใช้ตู้เย็นบ่อย

สรุป

ทั้งระบบ Defrost และ No Frost มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป การเลือกซื้อตู้เย็นควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น งบประมาณ ขนาดครอบครัว ความถี่ในการใช้งาน และความสำคัญของความสะดวกสบาย