ตากระตุก โชคหรือโรค? มาไขข้อข้องใจกัน
ตากระตุก เป็นปรากฏการณ์ที่หลายคนเคยประสบพบเจอ บางคนเชื่อว่าเป็นลางบอกเหตุดีร้าย แต่บางคนก็มองว่าเป็นสัญญาณเตือนของโรคภัยไข้เจ็บ แล้วความจริงเป็นอย่างไรกันแน่? มาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องตากระตุกไปพร้อมกันค่ะ
ตากระตุกคืออะไร?
ตากระตุก หรือการกระตุกของเปลือกตา เกิดจากกล้ามเนื้อตาหดตัวไม่ตามอำเภอใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือบ่อยครั้ง และอาจกินเวลานานหลายวินาทีหรือหลายนาที
สาเหตุที่ทำให้ตากระตุก
- ความเครียด: ความเครียดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อตาระคายเคืองและเกิดการกระตุกได้
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ: การนอนหลับไม่เพียงพอหรือการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้าและเกิดการกระตุกได้ง่าย
- การบริโภคคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์: สารกระตุ้นเหล่านี้จะทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติและส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อตา
- การขาดวิตามิน: การขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 อาจทำให้เกิดอาการตากระตุกได้
- โรคบางชนิด: โรคบางชนิด เช่น โรคเบลล์พัลซี หรือโรคเกี่ยวกับระบบประสาท อาจมีอาการตากระตุกเป็นหนึ่งในอาการแสดง
ตากระตุก หมายถึงอะไร? ความเชื่อเรื่องโชคลาง
ในหลายวัฒนธรรมมีความเชื่อเกี่ยวกับการตากระตุก เช่น
- ความเชื่อทางไทย: มีความเชื่อว่าการตากระตุกแต่ละข้างมีความหมายแตกต่างกัน เช่น ตากระตุกข้างซ้ายอาจหมายถึงจะมีเรื่องทะเลาะวิวาท ส่วนตากระตุกข้างขวาอาจหมายถึงจะมีโชคลาภ
- ความเชื่อทางจีน: มีการทำนายเกี่ยวกับการตากระตุกในแต่ละวันและแต่ละชั่วโมง เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับโชคลาภและการงาน
- อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเหล่านี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล และไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน
เมื่อใดควรพบแพทย์
หากอาการตากระตุกของคุณเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดตา มองเห็นภาพซ้อน หรือใบหน้าชา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
การป้องกันและบรรเทาอาการตากระตุก
- พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับให้ครบ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ลดความเครียด: หาเวลาพักผ่อนหย่อนใจ ทำกิจกรรมที่ชอบ
- หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน: ควรพักสายตาเป็นระยะๆ
- บริโภคอาหารที่มีประโยชน์: รับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วน
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์: ลดการบริโภคสารกระตุ้นเหล่านี้
สรุป
ตากระตุกส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุที่ไม่ร้ายแรง และสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยตนเอง แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม